1. Royal Flush (รอยัลฟลัช)

• คำอธิบาย: สุดยอดชุดไพ่โป๊กเกอร์ ประกอบด้วยไพ่ 5 ใบเรียงกัน 10, J, Q, K, A ที่มีดอกเดียวกัน (เช่น โพดำทั้งหมด)
• ความสำคัญ: เป็นชุดไพ่ที่มีค่าสูงสุด ไม่มีชุดไพ่ใดสามารถเอาชนะ Royal Flush ได้

2. Straight Flush (สเตรทฟลัช)

• คำอธิบาย: ไพ่ 5 ใบเรียงกันที่มีดอกเดียวกัน (เช่น 5, 6, 7, 8, 9 ดอกจิก)
• ความสำคัญ: มีค่ารองลงมาจาก Royal Flush หากมีผู้เล่นหลายคนได้ Straight Flush ผู้ที่มีไพ่สูงสุดในชุดนั้นจะเป็นผู้ชนะ (เช่น 9 สูงกว่า 8)

3. Four of a Kind (โฟร์การ์ด หรือ สี่ใบ)

• คำอธิบาย: ไพ่ 4 ใบที่มีแต้มเดียวกัน และไพ่อีก 1 ใบที่ไม่เข้าชุด (Kicker) (เช่น K, K, K, K, 7)
• ความสำคัญ: มีค่าสูงกว่า Full House หากมีผู้เล่นหลายคนได้ Four of a Kind ผู้ที่มีแต้มของไพ่สี่ใบสูงกว่าจะเป็นผู้ชนะ หากแต้มเท่ากัน ไพ่ Kicker ที่มีค่าสูงกว่าจะเป็นตัวตัดสิน

4. Full House (ฟูลเฮาส์)

• คำอธิบาย: ประกอบด้วยไพ่ตอง (Three of a Kind) และไพ่คู่ (Pair) ในมือเดียวกัน (เช่น 3, 3, 3, 9, 9)
• ความสำคัญ: มีค่าสูงกว่า Flush หากมีผู้เล่นหลายคนได้ Full House ผู้ที่มีไพ่ตองที่มีแต้มสูงกว่าจะเป็นผู้ชนะ หากไพ่ตองมีแต้มเท่ากัน ไพ่คู่ที่มีแต้มสูงกว่าจะเป็นตัวตัดสิน

5. Flush (ฟลัช)

• คำอธิบาย: ไพ่ 5 ใบที่มีดอกเดียวกัน แต่ไม่ได้เรียงกัน (เช่น A, 7, 4, K, 2 โพแดง)
• ความสำคัญ: มีค่าสูงกว่า Straight หากมีผู้เล่นหลายคนได้ Flush ผู้ที่มีไพ่สูงสุดในชุดนั้นจะเป็นผู้ชนะ หากไพ่สูงสุดมีแต้มเท่ากัน ให้เปรียบเทียบไพ่ใบรองลงมาตามลำดับ

6. Straight (สเตรท หรือ เรียง)

• คำอธิบาย: ไพ่ 5 ใบเรียงกัน แต่ไม่ได้มีดอกเดียวกัน (เช่น 10 โพดำ, J ข้าวหลามตัด, Q จิก, K หัวใจ, A ดอกจิก)
• ความสำคัญ: มีค่าสูงกว่า Three of a Kind หากมีผู้เล่นหลายคนได้ Straight ผู้ที่มีไพ่สูงสุดในชุดนั้นจะเป็นผู้ชนะ (เช่น J-10-9-8-7 สูงกว่า 7-6-5-4-3) เอซ (A) สามารถเป็นได้ทั้งไพ่ต่ำสุด (A-2-3-4-5) และไพ่สูงสุด (10-J-Q-K-A) แต่ไม่สามารถอยู่ตรงกลางได้ (เช่น K-A-2-3-4 ไม่ใช่ Straight)

7. Three of a Kind (ตอง หรือ สามใบ)

• คำอธิบาย: ไพ่ 3 ใบที่มีแต้มเดียวกัน และไพ่อีก 2 ใบที่ไม่เข้าชุด (Kickers) (เช่น 7, 7, 7, 2, K)
• ความสำคัญ: มีค่าสูงกว่า Two Pair หากมีผู้เล่นหลายคนได้ Three of a Kind ผู้ที่มีแต้มของไพ่สามใบสูงกว่าจะเป็นผู้ชนะ หากแต้มเท่ากัน ไพ่ Kicker ที่มีค่าสูงกว่าตามลำดับจะเป็นตัวตัดสิน

8. Two Pair (สองคู่)

• คำอธิบาย: ไพ่ 2 คู่ที่มีแต้มต่างกัน และไพ่อีก 1 ใบที่ไม่เข้าชุด (Kicker) (เช่น J, J, 5, 5, A)
• ความสำคัญ: มีค่าสูงกว่า One Pair หากมีผู้เล่นหลายคนได้ Two Pair ผู้ที่มีคู่ที่มีแต้มสูงกว่าจะเป็นผู้ชนะ หากคู่สูงสุดมีแต้มเท่ากัน ให้เปรียบเทียบแต้มของคู่อีกคู่ หากทั้งสองคู่มีแต้มเท่ากัน ไพ่ Kicker ที่มีค่าสูงกว่าจะเป็นตัวตัดสิน

9. One Pair (หนึ่งคู่)

• คำอธิบาย: ไพ่ 2 ใบที่มีแต้มเดียวกัน และไพ่อีก 3 ใบที่ไม่เข้าชุด (Kickers) (เช่น Q, Q, 4, 9, 2)
• ความสำคัญ: มีค่าสูงกว่า High Card หากมีผู้เล่นหลายคนได้ One Pair ผู้ที่มีแต้มของคู่สูงกว่าจะเป็นผู้ชนะ หากแต้มเท่ากัน ให้เปรียบเทียบไพ่ Kicker ที่มีค่าสูงกว่าตามลำดับ

10. High Card (ไพ่สูง)

คำอธิบาย: หากผู้เล่นไม่มีชุดไพ่ใดๆ ตามที่กล่าวมา จะตัดสินกันด้วยไพ่ที่มีแต้มสูงสุดในมือ (เช่น A, 10, 7, 3, 2 ดอกต่างกัน)
ความสำคัญ: เป็นชุดไพ่ที่มีค่าต่ำสุด หากมีผู้เล่นหลายคนมี High Card ที่มีแต้มเท่ากัน ให้เปรียบเทียบไพ่ใบรองลงมาตามลำดับ

การจัดเรียงไพ่ (Card Ranking):

ในการเปรียบเทียบชุดไพ่ที่มีแต้มเท่ากัน จะมีการพิจารณาจากแต้มของไพ่แต่ละใบ โดยเรียงจากสูงไปต่ำดังนี้:
A (เอซ) > K (คิง) > Q (ควีน) > J (แจ็ค) > 10 > 9 > 8 > 7 > 6 > 5 > 4 > 3 > 2

ดอกของไพ่ (Suits):

โดยทั่วไปแล้ว ดอกของไพ่ (โพดำ, หัวใจ, ข้าวหลามตัด, ดอกจิก) จะไม่มีผลต่ออันดับของชุดไพ่ ยกเว้นในกรณีของ Royal Flush และ Straight Flush ที่ต้องมีดอกเดียวกัน

สรุป:

การเรียนรู้อันดับไพ่โป๊กเกอร์และการจัดเรียงเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกสำหรับผู้ที่ต้องการเล่นโป๊กเกอร์อย่างจริงจัง การทำความเข้าใจว่าชุดไพ่ใดมีค่าสูงกว่า และวิธีการเปรียบเทียบไพ่เมื่อมีชุดที่เหมือนกัน จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนกลยุทธ์ ตัดสินใจเดิมพัน และอ่านเกมได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่าลืมฝึกฝนและจดจำอันดับเหล่านี้ให้ขึ้นใจ เพื่อให้คุณพร้อมสำหรับการเผชิญหน้าบนโต๊ะโป๊กเกอร์!